History
ผมเชื่อว่าตอนเด็กๆ ทุกคนมีความฝันของตัวเอง แต่เมื่อโตขึ้นมาชีวิตก็เปลี่ยนผันไปตามเวลา บ้างก็ต้องทำตามความฝันที่ครอบครัววางไว้ให้ บ้างก็ต้องทำตามกรอบของสังคม ผมเบส ปิยณัฐ ก็เคยเป็นคนนึงที่เคยเดินตามกรอบของสังคมครับ แม้ว่าผมจะรู้ตัวเองตั้งแต่เด็กแล้วว่าผมชอบและมีความสุขเสมอเมื่อได้อยู่กับสุนัข
สมัยเด็กที่บ้านของผมจะมีนิตยสารอยู่มากมายก่ายกองเพราะแม่ผมเป็นคนชอบอ่านนิตยสาร ในกองหนังสือพะเนินเทินทึกนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นความฝันของผม ผมชอบค้นหานิตยสารเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมาดูรูปเล่นในยามว่างที่ไม่ต้องทำการบ้านอ่านหนังสือ โดยเฉพาะรูปสุนัขพันธุ์ต่างๆ ผมยังจำได้ว่าสมัยนั้นรูปสุนัขในนิตยสารยังมีไม่หลากหลายสายพันธุ์ ตัวที่ติดตาตรึงใจผมก็คือจำพวกบูลด็อก พูเดิ้ล ชาเป่ย เวลาผมดูรูปเหล่านี้ แม่มักจะบอกว่าผม “ตาแป๋วเชียว” แต่แม่ผมคงไม่รู้หรอกว่าเกือบทุกครั้งที่ผมดูรูปพวกนี้ผมจะเปิดไปหน้าท้ายๆ ของนิตยสารเพื่อหาเบอร์โทรศัพท์ของฟาร์มเพาะพันธุ์สุนัข สบจังหวะแม่ไม่อยู่ผมก็จะแอบย่องไปใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปที่ฟาร์มว่ามีตัวไหนที่ผมพอจะซื้อหรืออ้อนแม่ให้ซื้อได้ไหม แต่ทุกครั้งที่ผมโทรไป ราคามันสูงมากจนผมต้องเก็บความฝันในการเลี้ยงสุนัขพันธุ์สวยๆใส่กรุชั้นลึกที่สุดทุกที แต่กระนั้นผมก็ยังทยอยซื้อนิตยสารสัตว์เลี้ยงมาเก็บไว้ดูเรื่อยๆ
ครั้งหนึ่งสมัยที่ผมยังเรียนประถมอยู่ที่โคราช จำได้ว่าระหว่างทางจากโรงเรียนกลับบ้าน ขณะที่ผมกำลังเดินกินลูกชิ้นเพลินๆ ตามประสาเด็ก ผมก็เห็นลูกสุนัขสีออกครีมๆ เนื้อตัวมอมแมม ผอมโซ หน้าตาหน้าสงสารกำลังวุ่นอยู่กับการค้นกองขยะริมถนน ด้วยความสงสารผมจึงเอามือบี้ๆลูกชิ้นลูกเดียวที่ผมเหลืออยู่ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าหามัน เพื่อแบ่งที่จะลูกชิ้นให้โดยที่มันไม่ตกใจวิ่งหนีผมไปซะก่อน ตอนนั้นเจ้าตัวน้อยจ้องหน้าผมดูกล้าๆกลัวๆ ตัวสั่นๆ แต่พอผมยื่นลูกชิ้นที่บี้แล้วไปจนใกล้พอที่มันจะได้กลิ่น มันก็ค่อยๆยืดคอออกมา อ้าปากอย่างหวาดระแวง แล้วใช้ฟันหน้าของมันค่อยๆงาบลูกชิ้นออกไปจากมือผมแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย พอกินเสร็จลูกสุนัขสีครีมตัวนั้นก็เดินตามผม ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพราะตอนนั้นกลัวว่าถ้ามันเดินตามมาเรื่อยๆ จะไปเจอสุนัขเจ้าถิ่นระหว่างทางเข้ามารุมกัด ถ้าจะเอากลับบ้านแล้วป๊าเห็นผมต้องถูกดุแน่ๆ เผลอๆอาจโดนไม้เรียว ผมจึงตัดสินใจเอาเจ้าตัวน้อยตัวนั้นใส่เป้แล้วรีบเดินดุ่ยๆ เข้าบ้าน ตรงเข้าห้องนอนของผมโดยไม่มองหน้าใคร ผมปรากฎว่าเจ้าตัวน้อยอึราดใส่เป้ แล้วผมก็โดนป๊าดุไปตามระเบียบ ไหนจะต้องซักเป้เองแล้วยังต้องเอาลูกสุนัขไปฝากไว้กับคนข้างบ้านอีก สรุปก็คือความฝันในการเลี้ยงสุนัขของผมก็ล่มสลายไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นผมก็เรียน เรียน และเรียน ผมรู้แค่ว่าเส้นทางตามที่สังคมวางไว้คือเป็นถ้าเด็กจะต้องเรียน แต่ผมก็ไม่ลืมความฝันที่อยากเลี้ยงสุนัขนะครับแต่มันไม่เห็นจะมีโอกาสเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเข้าสู่วัย 22 ปี ผมจบวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมปริญญาวิศวกรรมการบินอีกใบจากสถาบันการบินพลเรือน แล้วทุกอย่างก็ตรงตามแบบแผนของชาวบัณฑิตวิศวะฯ คือผมเข้าทำงานเป็นวิศวกรให้กับบริษัทใหญ่เกี่ยวกับพลังงานอันดับหนึ่งของประเทศ จากเงินเดือนและโบนัสที่โตขึ้นเรื่อย ผมก็มีเงินเก็บมากพอที่ผมจะเอาความฝันของผมออกจากกรุชั้นในสุดมาปัดฝุ่น ผมซื้อสุนัขเฟรนช์บูลด็อกตัวแรกของผมครับให้ชื่อว่า “ข้าวปั้น” ผมหลงรักเขามากๆ เพราะเขาขี้อ้อน ติดคน แทบจะไม่เห่า และมีโลกส่วนตัวของเขา ซึ่งผมคิดว่ามันคือเสน่ห์ แล้วเวลาโดนดุเขาก็จะเอียงคอเล็กน้อย นิ่ง และขมวดคิ้วจนผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดเขาทุกทีที่ดุเสร็จ ตอนนั้นผมคิดว่าเฟรนช์บูลด็อกเป็นสุนัขใจเย็น สอนง่าย ผมหลังรักทุกอย่างที่เป็นเฟรนช์บูลด็อก และแล้วผมก็ตกไปอยู่ในโลกของเขา เกือบทุกวินาทีมีข้าวปั้นก็ต้องมีผม แต่โชคไม่ดีผมเสียข้าวปั้นไปจากอุบัติเหตุ ผมเสียใจมาก ผมเสียใจที่เลี้ยงเขาไม่ดีพอและเสียใจที่เพื่อนที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดของผมจากไป นี่คือวันฝันสลายของผมครับ
หลังจากข้าวปั้นตายไป ผมรู้สึกไม่พอใจหลายๆ สิ่งทั้งตัวเองและสิ่งรอบตัว ผมไม่พอใจอาชีพตัวเองในตอนนั้น ผมไม่พอใจคอนโดที่ผมอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงเกิดความไม่พอใจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับคนรอบข้างผม ทั้งเพื่อนและครอบครัว เพราะผมตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างที่เคยทำมา แล้วเริ่มต้นใหม่ในทางที่ผมอยากเลือกเดิน ผมตัดสินใจปลีกตัวไปอเมริกาครับไปเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปเพื่อออกนอกกรอบที่สังคมวางไว้ ที่สำคัญที่สุดคือผมออกไปอเมริกาเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของผม
ที่อเมริกาผมได้มีโอกาสเรียนโยคะ เรียนกายวิภาคศาสตร์ (anatomy) และสาขาวิชาต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้รู้ตอนที่เรียนวิศวะฯ ผมตื่นเต้นกับความรู้ใหม่เหล่านี้มากเพราะว่าประโยชน์จากการเรียนศาสตร์เกี่ยวกับสุขภาพเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับตัวของผมเอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวผมมากที่สุดคืองานเสริมนอกเวลาเรียนที่ผมทำยามว่าง ผมรับจ้างจูงสุนัขออกกำลังครับ ทุกครั้งที่ผมได้ทำงานนี้ผมมีความสุขมาก ผมหลงรักการอยู่กับสุนัขมากกว่าทุกๆอย่าง เจ้าของสุนัขทุกคนบอกว่าเขาชอบให้ผมจูงสุนัขของเขา เพราะว่าผมทำได้ดี ดูเอาใจใส่ ดูรักสุนัข แล้วตัวสุนัขก็แสดงออกอย่างมีความสุข ช่วงเวลาที่อเมริกานี้เองที่ทำให้ผมระลึกถึงตัวตนและความฝันที่ผมเคยวาดไว้ตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมระลึกได้ว่าความสุขของผมอยู่ที่การได้อยู่กับสุนัขครับ และนี่คือสิ่งที่ใช่สำหรับผม
หลังจากกลับมาที่ไทย ความรู้ด้านโยคะและกายวิภาคศาสตร์ที่ได้เรียนมาจากอเมริกาก็ทำให้ผมได้มาเป็นครูผู้สอนคลาสโยคะและกายวิภาคประยุกต์ตามบริษัทใหญ่ๆ หรือแม้กระทั่งตามโรงพยาบาล ผมยอมรับว่าผมมีความสุขกับโยคะมากกว่างานวิศวะฯ แต่คราวนี้ผมท่องไว้ขึ้นใจเสมอว่านี่ยังไม่ใช่ที่สุดของความฝัน แต่มันเป็นบันใดที่จะพาผมไปสู่การเลี้ยงสุนัขสวยๆ น่ารักๆ อย่างที่ผมฝันไว้ ช่วงเวลานั้นผมจึงทำงานเก็บเงินเรื่อยๆ การเป็นครูสอนโยคะเป็นงานที่ต้องพบปะผู้คนข้างนอกตลอด ผมมสังคมที่เปลี่ยนไป ได้เจอคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผม ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มันทำให้ผมโตขึ้นในเชิงความคิดและปรัชญา งานสอนโยคะไม่ใช่งานนั่งออฟฟิศประจำ จึงเป็นงานที่ตอบโจทย์เรื่องเวลาพร้อมทั้งตอบโจทย์สุขภาพสำหรับผม
ถึงแม้ตอนนั้นผมมีสองอย่างที่คนเลี้ยงสุนัขควรจะมี คือ เงินและเวลา แต่ผมยังขาดไปอีกอย่าง นั่นคือสถานที่ครับ ตอนนั้นผมอยู่คอนโดซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าห้องในคอนโดนั้นขนาดไม่ได้ใหญ่ ถ้าจะเลี้ยงสุนัขคงไม่สามารถเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่หรือพวกที่เสียงดังได้ และที่สำคัญคือถ้าจะเลี้ยงในคอนโด ผมจะต้องแอบเลี้ยงแน่นอน ตอนนั้นผมพอจำได้ว่าเจ้าเฟรนช์บูลด็อกตัวแรกของผมนั้นไม่ได้ต้องการพื้นที่มากเท่าไหร่และไม่ใช่สุนัขที่เสียงดัง รู้เช่นนั้นผมจึงออกตามหาหมาสุนัขคู่ชีวิตอีกครั้ง ผมเสิร์ชดูบนอินเทอร์เน็ตทั้งเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม และพันทิปมาร์เก็ต
บนโลกออนไลน์มีคนเสนอขายเฟรนช์บูลด็อกเต็มไปหมดครับ เยอะมากจนผมมึนหัว ผมได้พบคนขายเจ้าหนึ่งเขาเสนอขายลูกเฟรนช์บูลด็อกที่ราคา 45,000 บาท ผมจึงติดตามลูกสุนัขตัวนี้และขอดูรูปดูคลิปของเจ้าตัวเล็กจากคนขายทุกวัน ผมตัดสินใจวางมัดจำไป 10,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากจ่ายเงินมัดจำไปทุกอย่างก็ดูจะตะขิดตะขวง จากที่ให้ดูรูปทุกวันกลับกลายเป็นว่าสิบวันให้ดูทีเดียว มากไปกว่านั้นหลังจากที่ลูกสุนัขอายุได้ประมาณ 50 วัน ผมพยายามขอเข้าไปดูตัวจริงของลูกสุนัข เขาก็ปฎิเสธผมตลอดและบอกว่าไม่สะดวก ท้ายที่สุดปมก็คลี่คลาย ผมไปพบว่าเขาไปตกลงซื้อขายกับคนอื่นไว้ในราคา 65,000 บาท ตอนนั้นผมรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ผมคิดว่าการค้าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเพราะผมจ่ายมัดจำไปแล้ว และลูกสุนัขนั้นก็ไม่รู้ว่าจะโตมาสวยหรือเปล่าเพราะตัวจริงก็ไม่ยอมให้เห็น และที่สำคัญผมไม่ได้จ่ายแค่หมื่นเดียวแล้วจบ แต่ผมได้ไปซื้อกรงและอุปกรณ์เลี้ยงสุนัขอื่นๆเตรียมไว้แล้วราคารวมก็เกือบหมื่น และแล้วในที่สุดเขาก็คืนมัดจำผมมา แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันเอาคืนกลับมาไม่ได้ อย่างไรก็ตามผมก็ยังตามหาสุนัขคู่ชีวิตต่อไปครับ
โชคเข้าข้างผม ผมได้เจอลูกเฟรนช์บูลด็อกตัวนึงในพันทิปมาร์เก็ต น้องน่ารักมากครับ หัวโต ทรวดทรงดูดี ราคาก็ตรงกับงบที่ตั้งไว้ ตามนิสัยเดิมครับ ผมก็ตามตื้อพี่คนขาย ผมทั้งโทรคุยทั้งวิดิโอคอลกับพี่เขาเกือบทุกวัน คุยกันไปคุยกันมาตามประสาคนรักเฟรนช์บูลด็อกเหมือนกันก็ถูกคอกันครับ จำความได้ว่าตอนั้นผมถามพี่เขาไปว่าเหลือลูกสุนัขตัวเมียกี่ตัว ปรากฎว่าเหลือแค่สองตัว ผมจึงรีบขอเข้าไปดูที่บ้านเขาทันทีเลย
วันที่เข้าไปดูตัวลูกสุนัข ผมเดินทางจากกรุงเทพไปถึงจันทบุรี ถึงบ้านเขาประมาณสามทุ่ม ไม่รอช้าผมรีบทักทายแล้วเข้าไปดูลูกสุนัขทั้งสองตัว ในสองตัวนี้มีตัวนึงที่เวลาผมอุ้มเขาขึ้นมาจากพื้น เขาจะเกร็งตัวแล้วกางขาทั้งสี่ข้างออกเหมือนกับว่ากำลังบิน ทั้งผมและคนขายก็พากันขำ และเจ้าตัวนี้ก็มีลักษณะที่ดีนั่นก็คือหัวโตตั้งแต่เด็ก ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือไม่มีแถบขาวแสกกลางหน้า แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนว่าสมัยนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเลือกลูกสุนัขเฟรนช์บูลด็อกที่ดีต้องเลือกจากอะไร ณ ขณะนั้น ผมรู้แค่ว่าผมชอบสี ชอบหุ่น ชอบนิสัยของมันมากๆ
ในที่สุดผมก็ได้เจ้าตัวน้อยสัญชาติจันทบุรี ผมตั้งชื่อเขาว่า “ปลาร้า” ครับ ผมชอบชื่อนี้เพราะผมเป็นคนอีสาน เวลากินข้าวทุกมื้อต้องมีปลาร้าเป็นเครื่องเคียงหรือเป็นเมนูหลัก มื้อไหนที่ขาดปลาร้าผมก็จะรู้สึกทันทีว่าไม่อิ่มท้อง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเลือดอีสานจริงๆ เจ้าเฟรนช์บูลด็อกตัวน้อยที่ชื่อปลาร้าก็จะต้องเป็นเหมือนปลาร้าในอาหาร นั่นคือผมจะขาดมันไม่ได้ครับ ผมเคยมีโอกาสอ่านบทความหนึ่ง เขาบรรยายว่าลูกสุนัขย้ายบ้านใหม่จะรู้สึกกลัวและขาดความอบอุ่นเพราะห่างจากแม่สุนัข ดังนั้นทุกคืนผมจึงเอาเจ้าปลาร้าขึ้นมานอนด้วยบนเตียงทุกคืน ทีเด็ดคือผมจะนอนหงายแล้วให้ปลาร้านอนบนอกของผมเพราะผมเชื่อว่าปลาร้าจะได้ยินเสียงหัวใจของผมซึ่งปลาร้าตัวน้อยน่าจะรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมอกของแม่เขาครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมคิดมากไปหรือไม่ ผมเพียงแค่ต้องการให้สุนัขที่อยู่กับผมได้สิ่งที่ดีที่สุดครับ
หลังจากที่เจ้าปลาร้าเข้ามาอยู่กับผมในคอนโดที่ไม่อนุญาตให้นำสุนัขเข้ามาเลี้ยง ผมจึงต้องมีเทคนิควิธีการต่างๆนาๆ เพื่อขนส่งเจ้าปลาร้าเข้าออกคอนโดโดยที่ยามประจำคอนโดและเจ้าหน้าที่นิติบุคคลไม่สามารถรู้ได้ เช่น ส่งปลาร้าที่ขณะนั้นตัวเล็กอยู่ออกทางช่องหน้าต่างชั้นล่าง แล้วให้เพื่อนหรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างมารอรับ ผมทำแบบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้ไปไหนมาไหนกับปลาร้า ไม่ว่าจะเป็นออกไปกินไอศกรีม ไปห้างสรรพสินค้า และไปวิ่งออกกำลังกายรอบสวนจิตรลดา ทุกอย่างที่ทำไปมันมีเสน่ห์ ผมอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องพวกนี้และมันทำให้ผมตระหนักอยู่เสมอว่านี่คือชีวิตในฝันของผมโดยมีเจ้าปลาร้าเป็นแรงบันดาลใจครับ
ปลาร้าก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ จะออกทางช่องหน้าต่างก็ไม่ได้แล้ว พอผมปิดหัวปลาร้า ก้นของเขาก็โผล่ ถ้าปิดก้น หูก็ยื่นออกมาให้เห็น จนในที่สุดยามประจำคอนโดก็ทักผมขึ้นมาแล้วขู่ว่าจะบอกนิติบุคคลเรื่องที่ผมแอบนำสุนัขเข้ามาเลี้ยงในคอนโด แต่โชคดีที่ผมได้เจรจากับยามไว้ได้ทัน เมื่อเริ่มโตปลาร้าก็สวยขึ้นเรื่อยๆ จนผมตัดสินใจสมัครเฟสบุ๊คให้ปลาร้าทั้งๆที่ผมไม่เคยเล่นเฟสบุ๊คมาก่อน เคยเห็นไหมครับ มันเปรียบได้กับคนที่เห่อลูกมากๆ จนต้องเปิดเฟสบุ๊คให้ลูกที่ยังแบเบาะ ผมคิดว่าถ้าผมมีลูกจริงๆ ผมก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ
“Plara de Frenchies” เป็นชื่อเฟสบุ๊คของปลาร้า ผมใส่หน้าปลาร้าตอนเด็กที่หูยังเป็นสีชมพูลงไปเป็นรูปโปรไฟล์ เฟสบุ๊คนี้ทำให้ผมรู้ว่าเฟรนช์บูลด็อกไม่ได้มีเสน่ห์กับผมแค่คนเดียว มันเป็นการเปิดโลกครั้งใหญ่ของผม มันทำให้ผมรู้จักกับคนในวงการเฟรนช์บูลด็อกหลายคน และก็มีคนทั้งไทยและต่างชาติส่งข้อความมาถามซื้อปลาร้าหรือลูกปลาร้าแทบทุกวัน บางวันมีข้อความขอซื้อเข้ามาห้าคน บางวันก็สิบคน มันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมมีสุนัขที่สวย รูปร่างดี ผมอยากจะก็อปปี้มันไว้หลายๆ ตัวแล้วเก็บสุนัขสวยๆเหล่านั้นไว้ที่ผมหมดเลย ตอนนั้นไม่ได้คิดนะครับว่าจะขายไหม
จุดเปลี่ยนหนึ่งคือการที่ผมตระหนักได้ว่าถ้าเลี้ยงปลาร้าในคอนโดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ดีแน่ ตัวผมเองก็ไม่ค่อยสบายใจที่ต้องฝืนกฏอยู่เรื่อยๆ ผมจึงต้องหาบ้านใหม่เพื่ออยู่กับปลาร้า ผมขับรถโดยมีปลาร้านั่งเบาะข้างๆ ไปตามซอยต่างๆ แถวสะพานควาย จตุจักร และบางซื่อ จนกระทั่งผมได้ทาวน์โฮมสามชั้นในหมู่บ้านหนึ่งใกล้สวนจตุจักร ซึ่งน่าจะเกินพอสำหรับสองชีวิต ดังนั้นผมจึงหาเพื่อนให้ปลาร้า ผมก็ใช้วิธีคล้ายๆ เดิมคือเริ่มหาจากในอินเทอร์เน็ตก่อนเพราะเป็นฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุด แล้วจึงเลือกเจาะคุยกับคนที่ขายเฟรนช์บูลด็อกตัวที่ผมชอบ จนผมได้น้องใหม่ชื่อ “คูก้า” มาในราคา 70,000 บาท
“คูก้า” มีสัญชาติเชียงใหม่ ผมเห็นคูก้าในรูปตั้งแต่ตัวแดงๆ ไม่มีใครแน่ใจว่าเมื่อคูก้าโตขึ้นมาจะสวยหรือไม่ด้วยซ้ำ นี่เหมือนเป็นการเปิดของขวัญที่ผมไม่รู้ว่าเปิดกล่องออกมาแล้วของข้างในจะสวยถูกใจผมหรือไม่ ในตอนนั้นผมชั่งใจหนักมากเพราะไม่เคยคิดว่าจะซื้อสุนัขราคาเกือบแสน คนขายเขาก็พยายามบอกผมว่าคูก้าเป็นลูกแชมป์ ซึ่งขณะนั้นผมไม่รู้เลยว่าแชมป์คืออะไร เหมือนเวลาที่เราไปบอกคนนอกวงการว่าสุนัขของเราเป็นไทยแชมป์ เขาก็จะคิดกันแต่ว่าสุนัขอาจได้รางวัลเกี่ยวกับวิ่งคาบกระดูก วิ่งในเขาวงกต หรือกระทั่งเป็นแชมป์หาระเบิด
“คูก้าเป็นลูกไทยแชมป์” ผมได้ยินแล้วรู้สึกโก้ดี ผมก็เลยวางมัดจำไป 35,000 บาท หลังจากได้มัดจำไปแล้วจากที่เขาส่งรูปและคลิปวิดีโอคูก้าให้ผมดูทุกวัน กลับกลายเป็นสัปดาห์ละครั้ง ผมก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอวันที่จะได้ดูรูปคูก้าและรอวันที่คูก้าจะนั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่มาเจอกับผมที่สุวรรณภูมิ จนกระทั่งคูก้าอายุ 60 วัน เจ้าตัวน้อยก็ออกเดินทางจากเชียงใหม่ ส่วนตัวผมเองไปรอที่คาร์โกของสนามบินสุวรรณภูมิ ผมไปรอก่อนเวลาเครื่องลงจอดประมาณสองชั่วโมง ผมจำได้ว่าผมตื่นเต้นมากๆ ที่ผมและปลาร้ากำลังจะมีสมาชิกในบ้านเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต และแล้วผมก็เห็นเจ้าหน้าที่เดินมาแต่ไกล พร้อมด้วยกรงที่มีลูกสุนัขสีครีมนอนจ้องออกมาด้านนอก แต่พอเขาเดินเข้ามาใกล้ๆผมเท่านั้นแหละ เจ้าคูก้าตัวเล็กน่ารักของผมมอมแมมไปด้วยอึ อึติดเต็มไปหมดทั้งตามเนื้อตัวและที่กรง แต่ไม่ว่าจะมอมแมมอย่างไรเจ้าสุนัขตาแป๋วที่นั่งอยู่ในกรงสบตาผมไม่ยอมลดละ ผมก็เช่นกัน ผมมีความสุขมากๆ ผมรู้สึกว่าคูก้าสวยมากเลย มากจนกระทั่งผมลืมปลาร้าที่อยู่ในรถไปชั่วขณะ
คูก้า ปลาร้าและผมเดินทางกลับมาถึงบ้านที่ย่านจตุจักร ผมเลี้ยงเขาทั้งคู่แยกกันก่อนเนื่องจากกลัวโรคติดต่อ และหลังจากครบกำหนดกักกันผมให้คูก้ากับปลาร้าออกมาเจอกัน ผมคิดมาในใจเสมอว่าปลาร้าน่าจะดุกับคูก้าเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ปลาร้าใจดีกับคูก้ามากๆ ปลาร้าเข้าหาคูก้าเหมือนเป็นน้องหรือเป็นลูกเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือผมได้ถูกรางวัลที่หนึ่งสองครั้งซ้อน
คูก้ามีนิสัยที่น่าสนใจคือ เขาชอบยืนยืดคอมาตั้งแต่เล็กๆ ชอบกินทุกสิ่งทุกอย่างเป็นชีวิตจิตใจและจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ของกิน คูก้าเป็นสุนัขที่รักความสะอาดมาก เขาไม่ชอบนอนที่เปียกชื้นและขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง และที่น่าแปลกใจคือคู้ก้ากลัวความสูงมาก แม้จะสูงจากพื้นแค่ 5 เซนติเมตร คูก้าก็จะยืนนิ่งไม่กระดิก
หลังจากนั้นอีกราวครึ่งเดือน ผมก็ได้รับสมาชิกใหม่มาในบ้านอีก 1 ชีวิต ตัวใหม่นี้เป็นสุนัขสีขาวดำซึ่งมีเอกลักษณ์คือมีสีขาวล้วนทั้งตัว มีเพียงรอบดวงตาหนึ่งข้างที่เป็นสีดำ ผมตั้งชื่อสมาชิกตัวใหม่นี้ว่า “ฤทัย” ฤทัยเป็นสุนัขที่มีพลังงานเหลือล้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคูก้าโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งหมดก็เข้ากันได้ดีมาก ไม่ว่าจะปลาร้า คูก้า หรือฤทัย ทุกตัวดูรักใคร่ปรองดอง กินด้วยกัน เล่นด้วยกัน และนอนด้วยกัน ส่วนตัวผมมีหน้าที่เพียงถ่ายรูปเด็กๆ เหล่านี้ และอัพโหลดลงเฟสบุ๊ค Plara de Frenchies ในเวลาว่าง
ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังท่องโลกโซเชียลและเพลิดเพลินกับการดูรูปเฟรนช์บูลด็อกของบ้านอื่นๆ บนเฟสบุ๊ค ผมบังเอิญเห็นกระทู้ของพี่เวฟ สาริน ซึ่งผมติดตามผลงานของพี่เขาตั้งแต่สมัยผมยังเด็ก แต่บังเอิญมากอีกเช่นกันที่พี่เขาก็เลี้ยงเฟรนช์บูลด็อก ทำให้ผมสนใจที่จะกดเข้าไปดูและพบว่าเขาไม่ได้แค่เลี้ยง แต่เขายังส่งเฟรนช์บูลด็อกเข้าประกวดด้วย นั่นทำให้ผมสนใจที่จะส่งเฟรนช์บูลด็อกของผมเข้าประกวดด้วยเพราะตอนที่ผมซื้อสมาชิกบ้านของผมมา คนขายโฆษณาว่าเด็กๆ ของผมเหล่านี้เป็นเกรดประกวด ดังนั้นอาจเรียกได้ว่าพี่เวฟเป็นผู้จุดประกายให้ผมคิดส่งเฟรนช์บูลด็อกของบ้านเข้าประกวด เมื่อประกายถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว ผมจึงเริ่มสืบเสาะว่าหากจะเข้าประกวดต้องทำอย่างไรบ้าง ด้วยความไม่รู้ว่าจะไปหาข้อมูลจากที่ใด ผมจึงเลื่อนดูในหน้าเฟสบุ๊คของพี่เวฟไปเรื่อยๆ จนพบรูปรับรางวัลที่มีครูฝึกสุนัขร่วมอยู่ในรูปด้วย และผมก็พยายามติดต่อผ่านข้อความทางเฟสบุ๊ค แต่ตอนนั้นดึกมากแล้วจึงไม่มีใครตอบข้อความ ผมก็ได้แค่ฝากข้อความทิ้งเอาไว้ จนในช่วงเช้าครูฝึกก็ตอบข้อความกลับมาว่าให้ลองเอาสุนัขของผมเข้ามาดูก่อนเพราะการประกวดไม่ได้มีแค่ความสวยของรูปร่างเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายๆอย่างที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ หรือท่วงท่าการเดินของสุนัข หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจส่งทั้งคูก้าและฤทัยลองเข้าไปฝึกดู
หลังจากที่ครูฝึกได้เห็นทั้งคูก้าและฤทัย คุณครูก็รับทั้งสองตัวเข้าฝึก ในความรู้สึกของผมการส่งสุนัขเข้าฝึกเพื่อประกวดเป็นการตัดสินใจที่ทำได้ยากมากเพราะว่าเจ้าสองตัวนี้อยู่กับผมมาตลอด ผมไม่อยากให้ทั้งคู้ก้าและฤทัยห่างจากผมมาก แต่ในขณะเดียวกันเพื่อนๆ และคนรอบกายผมก็เล่าสิ่งดีๆ เกี่ยวกับการประกวดให้ฟังจนผมรู้สึกฮึดขึ้นสู้อีกครั้งและตัดใจร่ำลาส่งสองสาวน้อยเข้าโรงเรียนฝึกหัด ในระหว่างนี้ครูฝึกได้โทรศัพท์มาหาผมตลอด คุณครูเล่าให้ผมฟังว่าทั้งสองตัวมีพัฒนาการที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะคูก้า ผมจึงรู้สึกใจชื้นและมีความหวังขึ้นมา ผมต้องยอมรับเลยครับว่าผมวาดฝันต่อจากจุดนั้นต่างๆ นาๆ
ผ่านไป 3 สัปดาห์ ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องรับเด็กๆของผมกลับบ้าน ผมรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก ผมลงทุนเตรียมที่นอนใหม่ ชุดใหม่ และอาหารที่ทั้งสองชอบ แต่ปริมาณอาหารที่ผมเตรียมไว้เสมือนสำหรับสุนัขสิบตัวกินกันได้เป็นเดือนๆ นอกจากนั้นผมยังพาคูก้า ฤทัย และปลาร้าไปวิ่งรอบๆ สวนจิตรลดาทุกวันเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและรูปร่าง อีกไม่กี่วันต่อมาครูฝึกก็โทรศัพท์มาหาผมเพื่อบอกว่าจะมีงานประกวดในอีกสองวันข้างหน้า แต่คุณครูบอกว่าผมสามารถเลือกสุนัขลงประกวดได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น เพราะว่าคูก้าและฤทัยจะอยู่รุ่นเดียวกัน หลังจากที่ครูพูดจบ ความคิดผมก็นึกไปถึงคอนที่ครูเคยชมว่าคูก้าทำได้ดีกว่าสุนัขตัวอื่นๆ ผมจึงตัดสินใจเลือกคูก้าเข้าประกวด ผมได้ส่งคูก้าเข้าฝึกกับครูเพื่อทวนความจำในสองวันสุดท้ายก่อนเข้าประกวด และแล้วงานแรกของการประกวดก็มาถึง งานนี้จัดที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานีซึ่งเป็นงานใหญ่ที่สุดระดับประเทศของปีเลยก็ว่าได้ คูก้าจะลงประกวดในรุ่นเบบี้อายุไม่เกิน 6 เดือน ผมรู้สึกว่างานแรกนี้ผมตื่นเต้นกว่าคูก้าเสียอีก ผลปรากฏว่าคูก้ากวาดรางวัล Best Baby in Breed ไป 7 รางวัล จาก 8 การประกวด และยังได้เข้ารอบลึกต่อไปจนได้ Reserve Best Baby in Show และ 3rd Baby in Show อีกด้วย มากไปกว่านั้นยังมีชาวต่างชาติมาขอซื้อที่ขอบสนามในราคา 400,000 บาท ซึ่งถ้าคิดไปคิดมามันคือกำไรเกือบ 600 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมบอกเลยว่าไม่ขาย ในใจก็คิดอย่างมั่นใจมากว่าสองล้านก็ไม่ขายเพราะผมรักคูก้าและทุ่มเทให้กับเขามากๆ การประกวดครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเกินคาด นั่นทำให้ผมตัดสินใจว่าจะเอาดีทางด้านการประกวด ผมจึงเริ่มศึกษาการจูงสุนัขเพื่อประกวด และศึกษาระบบการประกวด แต่หลังจากงานประกวดที่อิมแพ็ค อารีน่าครั้งนั้น คูก้าก็หยุดประกวดไปเพราะอายุยังไม่พร้อมที่จะเป็นแชมป์
เมื่อคูก้ามีอายุ 8 เดือน ผมก็ตัดสินใจให้คูก้าลงสนามประกวดอีกครั้ง หลังจากที่คูก้าไม่ได้เจอคุณครูมานาน คุณครูทักว่า “ทำไมคูก้าอ้วนจัง” แต่ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “คูก้าเดินดี” ดังนั้นผมจึงไม่มั่นใจว่าครั้งนี้คูก้าจะทำได้เหมือนเดิมไหมเพราะว่าคูก้าก็ห่างสนามมานานแล้ว คูก้าชนะและกวาด Challenge Certificate หรือใบ CC ทุกใบของการประกวด แล้วแถมด้วยรางวัล Best of Breed อีก 1 รางวัลในวัยเพียงแค่ 8 เดือนเท่านั้น คว้าตำแหน่ง Young Champion กลับบ้านอย่างสง่างาม
เมื่อคูก้าอายุถึงกำหนดที่จะชิงความเป็นไทยแชมป์ ผมก็ส่งคูก้าลงสนามประกวดอีกครั้ง ครั้งนี้ก็ไม่ผิดจากที่คาด คูก้าเก็บ Best of Breed, Best in Group และ 3rd in Show ทำให้ได้เป็นไทยแชมป์ที่มาพร้อมคำนำหน้าชื่อ TH. CH. Cougar แห่งบ้าน Plara de Frenchies
หลังจากที่คูก้าจบไทยแชมป์ ผมเริ่มตั้งเป้าหมายไปที่การประกวดเพื่อจัดอันดับเฟรนช์บูลด็อกของประเทศไทย (ranking) ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของผู้ประกวดทุกคน ผมจึงส่งคูก้าเข้าประกวดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และก็ได้ Best of Breed และรางวัลอื่นๆมาตลอด งานประกวดที่คูก้าโดดเด่นที่สุดคืองานที่ฟอร์จูนทาวเวอร์ งานนี้ประกอบด้วย 4 งานประกวด และคูก้าก็เก็บรางวัล Best of Breed ทั้งหมดในงาน จำนวน 4 รางวัลกลับบ้านแต่เพียงผู้เดียว มากไปกว่านั้นในการประกวดรอบลึก คูก้าได้รางวัล 2nd in Group จำนวน 3 รางวัล 1st in Group จำนวน 1 รางวัล และที่ประทับใจผมมากก็คือ Reserve Best in Show ครั้งนั้นผมและคูก้ากลับบ้านอย่างมีความสุขและหลงระเริงกับรางวัลที่ได้มาก อย่างไรก็ตามการแข่งขันย่อมมีการฟาดฟันกัน คูก้าสู้อย่างสูสีกับเฟรนช์บูลด็อกตัวผู้อีกตัวหนึ่ง ทั้งสองสลับกันขึ้นอันดับที่ 1 ของประเทศ แต่โชคไม่เข้าข้างคูก้าช่วงกลางไปจนถึงท้ายปี กรรมการหลายคนไม่ตัดสินเฟรนช์บูลด็อกสีครีม เรื่องรุนแรงขนาดที่กรรมการบางท่านเชิญเฟรนช์บูลด็อกทุกตัวที่เป็นสีครีมออกจากสนามรวมไปถึงคูก้าด้วยเช่นกัน
ผมรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในเวลานั้น และรู้สึกคลุมเคลือที่กรรมการจากฝั่งยุโรปไม่ตัดสินเฟรนช์บูลด็อกสีอ่อน เช่นสีครีม หรือสีฟอว์นที่ไม่มีหน้ากากดำ นั่นจึงทำให้ผมเริ่มศึกษาโครงสร้างเฟรนช์บูลด็อก ผมเริ่มหันมาดู FCI guidance ผมหาข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข่าวสารและบทความจากต่างประเทศ ผมเก็บเอาสิ่งที่ได้ยินจากรุ่นพี่ข้างสนามมาคิด ไตร่ตรอง และเริ่มยอมรับในการตัดสินของกรรมการว่ากรรมการแต่ละคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน ก็ถือเป็นโชคไม่ดีที่ผมดันชอบเฟรนช์บูลด็อกสีครีมแล้วกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผมก็ยังคิดว่าคูก้าและผมต้องสู้ต่อไปเพราะเรามากันไกลเกินกว่าที่จะยอมแพ้ คูก้ากำลังสู้เพื่อความฝันของทุกชีวิตในบ้านปลาร้า ทุกคนลงทุนลงแรงและลงมือทำไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาด้านกายภาพ ด้านโภชนาการ และพันธุกรรมต่างๆของเฟรนช์บูลด็อก การพาออกกำลังกายที่ผมก็ต้องเหนื่อยไปพร้อมๆกับคูก้าและตัวอื่นๆในบ้าน ผมจึงพยายามทำสุนัขในบ้านปลาร้าให้ใกล้เคียงกับลักษณะตามมาตรฐาน FCI มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ที่จริงแล้วความรู้สึกผิดหวังในทุกครั้งที่ถูกเชิญออกเพราะความเป็นสีครีมเป็นสิ่งที่เตือนสติผมว่าการที่คูก้าได้รางวัลต่างๆนาๆก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้เลยว่าคูก้าได้มาเพราะอะไร มันเป็นความบังเอิญ หรือลักษณะไหนกันแน่ที่กรรมการมองหา จนปัจจุบันผมทราบแล้วว่ามาตรฐาน FCI สำหรับเฟรนช์บูลด็อกเป็นอย่างไร และบังเอิญว่ามาตรฐานนั้นก็ตรงกับลักษณะเฟรนช์บูลด็อกที่ผมชอบพอดี จึงเสมือนกับว่าผมเลือกซื้อลูกสุนัขที่เป็นไปตามมาตรฐาน FCI ตั้งแต่แรก ต้องขอขอบคุณความผิดหวังที่ทำให้ผมได้ศึกษาและเรียนรู้
สิ่งที่ผมเรียนรู้จาก FCI คือ ลักษณะมาตรฐานของเฟรนช์บูลด็อก เช่น หัวต้องกว้าง ไม่กลมมากและดูแข็งแรง ผิวหนังที่ส่วนหัวต้องมี wrinkle ที่สมมาตร แต่ก็ต้องไม่เหี่ยวย่นมากเกินไป หน้าเฟรนช์บูลด็อกต้องสั้นไม่ยื่นยาวออกมากจนเกินไป จมูกสีดำโค้งไปด้านหลังนิดหน่อยและมีความกว้างที่พอดี ริมฝีปากต้องหนา หย่อนยานเล็กน้อย และเป็นสีดำ ริมฝีปากบนและล่างต้องบรรจบกันตรงกลางจนสามารถปิดฟันไว้ได้มิดชิด คอต้องสั้น ดูมีพลัง และขนาดคอค่อยๆ ขยายออกจากหัวไปสู่ไหล่ ส่วนลำตัวจะต้องมี Topline หรือเรียกว่า roach-back นั่นคือหลังไม่ตรงดิ่งแต่มีความโค้งสูงไปเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แต่ก็ไม่โค้งมากไปจนดูเหมือนหลังหัก หลังของเฟรนช์บูลด็อกต้องกว้างและมีกล้ามเนื้อ เนื้อต้องแน่นไม่หย่อนยาน อกต้องรูปทรงเหมือนถังเบียร์ หางตรงและสั้นโดยธรรมชาติ แต่หางจะต้องมีความยาวมากพอที่จะปิดรูทวารหนักได้ และหางต้องไม่ชี้ขึ้นมาเกินแนวนอนไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ถ้าคร่าวๆ ผมก็ขอเล่าถึงลักษณะเฟรนช์บูลด็อกตามมาตรฐาน FCI เพียงเท่านี้ครับ นี่ยังไม่รวมส่วนขา วิธีการเดิน และขนนะครับ แต่ถ้าใครสนใจก็มาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ครับ
หลังจากผ่านทั้งความสมหวังและความผิดหวังมาแล้ว คะแนนรวมของคูก้าในปัจจุบันมาเป็นอันดับที่ 1 ในบรรดาเฟรนช์บูลด็อกตัวเมียทั้งหมดในประเทศไทย และเป็นอันดับ 1 สำหรับเฟรนช์บูลด็อกสีครีมของทั้งประเทศ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ 2 ของเฟรนช์บูลด็อกทั้งประเทศก็ตาม รางวัลที่คูก้าได้มาหลังจากเข้าสู่ตำแหน่งไทยแชมป์มีดังนี้
1x Reserve Best in Show
1x 3rd in Show
2x Best in Group
4x Reserve Best in Group
3x 3rd in Group
2x 4th in Group
18x Best of Breed
21x Reserve Best of Breed
25x Best Local in Breed
เป้าหมายต่อไปสำหรับคูก้าคือการเป็น International Beauty Champion ซึ่งขณะนี้คูก้ามี Certificat d'Aptitude au Championnat International de Beauté หรือ CACIB 6 ใบแล้ว ซึ่งเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 4 ใบ อย่างไรก็ตามคูก้ายังอายุไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนดว่าอย่างชัดเจนว่าการจะเป็น International Beauty Champion ต้องเก็บ CACIB ใบแรกและใบสุดท้ายห่างกันเป็นระยะเวลา 1 ปี
นอกจากคูก้าแล้ว ปลาร้า พี่ใหญ่ในบ้านของเราก็จบไทยแชมป์พร้อมด้วยตำแหน่ง Best Junior in Show ปลาร้า คูก้า ฤทัย เป็นรุ่นแรกๆของบ้านปลาร้า แต่ผมยังไม่ได้พูดถึงสมาชิกที่ผมรับเพิ่มเข้ามาใหม่ที่มีทั้งเมล่อน โมนิค และเบอร์เกอร์ ทั้งสามตัวนี้ก็มีรางวัลจากงานประกวดกันบ้างแล้วเช่น Best Baby in Group จากโมนิค ส่วนตัวอื่นๆ กำลังรอลงสนามเพื่อจะประกวดต่อไปครับ ผมเชื่อว่าสุนัขทุกตัวที่กล่าวไปพร้อมจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดีเมื่อถึงวัยอันควร หลักการที่ผมยึดไว้เสมอในการพัฒนาพันธุ์คือ พัฒนาให้ได้ลักษณะใกล้เคียงกับมาตรฐานของ FCI มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่อิงกระแสไม่ว่าจะจากในโลกอินเตอร์เน็ตหรือแหล่งใดก็ตาม อาทิ เคยมีคนบอกผมว่าหมาอกยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดี แต่ผมเชื่อว่าลักษณะบางอย่างมันต้องแลกหรือเทรดออฟ (trade-off) เช่นถ้าอกกว้างเกินไปมาก ขา และท่วงท่าในการเดินก็อาจเสียไป ผมจึงตั้งเป้าไว้ที่มาตรฐาน FCI แต่ก็ยังไม่ลืมความน่ารักในแบบที่ผมชอบ และผมการันตีได้เลยครับว่าสุนัขของบ้านปลาร้าที่จะต้องย้ายบ้านออกไปต้องมีความสุข เพราะผ่านการเลี้ยงจากมือของผมเอง ไม่ผ่านลูกจ้าง ผมลงมือเองทุกอย่างจริงๆ
มาพูดถึงการพัฒนาฟาร์มหรือบ้านของปลาร้า ตอนนี้บ้านปลาร้าได้มีผู้ร่วมงานในการพัฒนา 3 คน หนึ่งคือผมผู้ที่กำลังเล่าเรื่องอยู่ครับ ผมได้ลงมือทำและเลี้ยงสุนัขทุกตัวในบ้านด้วยมือของผมเองทุกขั้นตอนดังที่กล่าวไปแล้ว และคนที่สองต้องพูดถึงคือเพื่อนของผมที่มีดีกรีเป็นด็อกเตอร์ทางด้าน Physiology จาก University of Cambridge ประเทศอังกฤษ เคยได้รางวัลอันดับหนึ่งของหลักสูตรจากมหาวิทยาลัย ถ้าผมจะทำฟาร์มเพาะพันธุ์สุนัขถือเป็นความโชคดีมากๆ พราะเพื่อนคนนี้มีความเชี่ยวชาญทั้งทาง Physiology และ Genetics ส่วนเพื่อนอีกคนเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานเอกสารค้าขาย การเงินการบัญชี รวมไปถึงการติดต่อกับชาวต่างชาติ และสามารถนำเข้าอุปกรณ์สำหรับการเลี้ยงสุนัขได้ เขามีข้อดีที่ขาดไม่ได้เลยคือเขาชอบศึกษาและหาข้อมูลทั้งใหม่และเก่า เช่น สถิติต่างๆ ของเฟรนช์บูลด็อก ผมถือว่าฟาร์มของเราเพรียบพร้อมสมบูรณ์ทั้งแรงคิดและแรงงาน ทุกคนทำงานด้วยความรักในสุนัขทุกตัว และผมคิดว่าฟาร์ม Plara de Frenchies คงตอบโจทย์ลูกค้าหลายๆคนที่สนใจเลี้ยงเฟรนช์บูลด็อก และต้องการความถูกต้องของสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเกรดประกวด หรือรองลงมา โดยผมคิดว่าผมต้องการให้ผู้เลี้ยงได้สุนัขตรงความต้องการของเขาที่สุด เพื่อให้เขาสามารถรักเฟรนช์บูลด็อกจากบ้านปลาร้าได้มากเท่าๆกับที่พวกเรารัก